Thursday, October 13, 2005

คนดีในสังคมไทย

"สังคมเลว เพราะคนดีท้อเเท้" คงเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้างนะครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าสังคมไทยให้ความสนใจกับคนดีที่ไม่รวยน้อยไปหน่อย ลองอ่านบทความข้างล่างดูนะครับเป็นเรื่องราวของคนดีในสังคมไทยที่ผมคิดว่าควรจะได้รับการสรรเสริญ เป็นบทความจากนสพ มติชน ครับ


อาลัย... "สุนทร สิทธาคม" อาสาสมัครผู้วายชนม์



"พี่ทรตายแล้ว" เสียงสั่นเครือของนางธวัลหทัย สิทธาคม "สุ" ภรรยา "นายสุนทร สิทธาคม" เปล่งออกมาจากลำคอ เพื่อแจ้งข่าวการจากไปของสามีให้กับทุกคนซึ่งกำลังประชุมกันอยู่ที่ศูนย์อาสาสมัครสึนามิวาเลนเทียเซ็นเตอร์ได้ทราบ ทุกคนดูตกใจและเศร้าใจจนยากจะบรรยาย

ทำไม... การจากไปของสุนทรทำให้หลายคนเศร้าโศกเหลือเกิน

ถ้าใครรู้จักและคลุกคลีกับผู้ชายคนนี้จะไม่สงสัยเลย เพราะเมื่อเขายังมีลมหายใจสุนทรได้สร้างสิ่งดีๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะการทุ่มเทแรงกายและแรงใจอย่างเกินกำลังในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เมื่อครั้งเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิ

"เร็วทุกคนช่วยกันหน่อย ช่วยกันหาศพ ช่วยกันทำทุกอย่างเท่าที่เราจะช่วยพวกเขาได้" นี่คือน้ำเสียงที่ยังก้องหูเมื่อครั้งที่สุนทรลงไปทำงานเป็นอาสาสมัคร

ทั้งที่ก่อนหน้านี้สุนทรไม่เคยสัมผัสกับงานอาสาสมัครมาก่อน เขาทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ทำหน้าที่ตกแต่งสนามหญ้า ที่สนามกอล์ฟ ฐานทัพเรือ จังหวัดพังงา ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิได้ไม่นาน สุนทรลาออกจากการทำงานที่สนามกอล์ฟ แล้วซื้อรถตู้มือสองมาวิ่งวินรับคนจากเขาหลักไปสนามบินจังหวัดพังงา

แล้วเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา เช้าวันนั้นไม่มีใครรู้เลยว่าจะเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศไทย สุนทรยังคงทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากเขาหลักไปยังสนามบินเหมือนทุกครั้ง

หลังจากที่หนุ่มวัย 37 ปี ร่างกายกำยำขับรถตู้มุ่งหน้าไปสนามบินพร้อมนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ในรถตู้ ไม่ถึง 15 นาที คลื่นยักษ์สึนามิก็ถาโถมกันเข้ามาซัดเขาหลักจนแทบไม่เหลือแม้แต่ซากภายในพริบตาเดียว

"ตอนที่เกิดเหตุสึนามิ ญาติของพี่ทรก็ตายด้วย ฉันกับสามีมาช่วยกันหาศพญาติ แต่สถานการณ์ตอนนั้นคนตายเป็นเบือ พี่ทรตั้งใจว่าเราจะไม่หาเฉพาะศพของญาติเรา พวกเราจะช่วยหาทุกศพที่ต้องมาจบชีวิตด้วยกันตรงนั้น" สุภรรยาของสุนทรย้อนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น

"การเข้าไปช่วยเหลือของพี่ทร พี่เขาย้ำทุกคนว่าเราจะไม่ช่วยเก็บอะไร แต่จะช่วยกันทำสัญลักษณ์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ค้นหาผู้เสียชีวิตได้ง่ายขึ้น ตอนนั้นเราช่วยกันค้นหาศพได้ประมาณ 40-50 ศพ"

คลื่นยักษ์สึนามิทำให้ผู้คนในท้องถิ่นไม่มีงานทำ รวมทั้งสุนทรและภรรยาด้วย ทั้งคู่จึงอาสาขอทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครสึนามิวาเลนเทีย (www.tsunamivolunteer.net) ที่ดำเนินการบริหารจัดการโดยกลุ่มอาสาสมัครและมูลนิธิกระจกเงา และรถตู้ที่ซื้อมาเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยว ถูกเปลี่ยนมาใช้ในการพาเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเข้าไปในพื้นที่เขาหลัก เข้าไปยังหาดนางรอง และอีกหลายสถานที่เพื่อไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและช่วยนำผู้เสียชีวิตกลับบ้าน

"พี่ทรเขามีความสุขมากที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น เขาบอกว่า แม้การทำงานเป็นอาสาสมัครจะไม่ได้รับเงินตอบแทน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันคือความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว" สุเล่าพร้อมน้ำตา

"ตอนเป็นอาสาสมัครเห็นพี่ทรทำงานแล้วภูมิใจในตัวเขามาก เขาทำทุกอย่างจริงๆ เคยขับรถพาคุณหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ เข้าไปในพื้นที่ เคยพาเจ้าหน้าที่อาสาสมัครคนอื่นไปเกาะคอเขา ไปบูรณะวัดเกาะคอเขา ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปหักพัง และฝังอยู่ในดินเยอะมาก หรืออย่างเรื่องเด็กกำพร้า พี่ทรซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้พาเจ้าหน้าที่ไปตามหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่พ่อแม่เสียชีวิต พี่ทรเป็นคนในพื้นที่เป็นคนตำบลทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา"

ก่อนวันที่สุนทรจะหมดลมหายใจ เขายังคงทำหน้าที่อาสาสมัครอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าระยะหลังสุขภาพร่างกายของชายกำยำคนนี้จะทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด

"พี่ทรเป็นนิ่วในไต หมอกำชับว่าห้ามทำงานหนัก แต่พี่เขายังทำงานอย่างหนักเหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้คนในพื้นที่ยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก พวกเขาหลายคนยังไม่มีอาชีพ หลายครอบครัวยังคงเคว้งคว้างเพราะไร้ผู้นำ"

ภารกิจที่สุนทรยังทำอยู่เป็นประจำ คือการยกข้าวของที่คนนำมาบริจาคตระเวนไปส่งต่อให้ยังหมู่บ้านต่างๆ หลายครั้งที่เขาอาสาเข้าไปถึงขนของหนักทั้งถังน้ำขนาดใหญ่ที่ผู้ใจบุญนำมาบริจาค ข้าวสารกระสอบใหญ่ และอีกหลายๆ อย่าง

อาการระยะหลังของสุนทรดูจะหนักขึ้นทุกที เขาทรมานมากเวลาที่ปวดปัสสาวะ ข้าวปลาอาหารก็กินไม่ได้ น้ำหนักตัวที่เคยอ้วนถึง 120 ก็ลดลงไม่ถึง 100 กิโลกรัม

"พี่ทรแกทำงานจนลืมเวลาที่นัดกับหมอไว้ แกกลับบ้าน 2-3 ทุ่มทุกวัน จนกระทั่งวันที่ 24 กันยายน พี่เขาอาการหนักมาก ร้อนข้างในต้องเช็ดตัวให้ทั้งคืน ป้อนอะไรก็ไม่กิน ฉันเลยพาไปส่งโรงพยาบาล ตอนนั้นยังคุยกันปกติ จนสิบโมงพี่ทรบอกให้ไปเรียกลูกมาหาหน่อย ลูกมากอดมาหอมพ่อแล้วก็กลับบ้านเพราะพรุ่งนี้ต้องสอบ ตอนบ่ายโมงพี่ทรตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาลืมตาไม่เหมือนเดิม ฉันเอามือมากรีดที่ฝ่าเท้าเขาเริ่มไม่รู้สึกแล้ว หมอรีบพาเข้าห้องไอซียูแล้วช่วยกันปั๊มหัวใจ"

จนกระทั่งเช้าวันที่ 25 กันยายน แพทย์บอกว่า ไตซีกหนึ่งมีนิ่วอยู่และไตก็ไม่ทำงานแล้ว อีกทั้งน้ำตาลในเส้นเลือดสูง ต้องละลายน้ำตาลในเลือด ซึ่งแพทย์บอกให้ญาติทำใจตั้งแต่ตอนนั้น

จน 9 โมงเช้าของวันที่ 26 กันยายน อาการของสุนทรเข้าขั้นวิกฤต แต่ทุกคนยังไม่ยอมให้ถอดสายออกซิเจน จนกระทั่งสุภรรยาที่อยู่กินกันมานับ 10 ปี เข้าไปกราบเท้าของสุนทร เธอพูดกับสามีว่า …

"ถ้าพ่อทรมานพ่อก็ตัดสินใจได้เลยว่าจะทำยังไงกับชีวิต ถ้าตัดสินใจจะอยู่แม้พ่อจะเป็นอย่างไร ฉันกับลูกก็พร้อมที่จะดูแลพ่อ และถ้าพ่อตัดสินใจจะไปก็ไปให้สงบ"

ภาพลมหายใจสุดท้ายของสุนทรนั้น สุยังจำได้ดี เพราะเมื่อเธอพูดจบ สามีที่นอนแน่นิ่งไม่รู้สึกรู้สา จู่ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้น แล้ววินาทีนั้นเองดัชนีของลมหายใจที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ของเครื่องวัดคลื่นหัวใจก็ลากเป็นเส้นตรง

สุนทรจากโลกใบนี้ไปตั้งแต่วินาทีนั้น แม้วันนี้จะไม่มีผู้ชายร่างกายกำยำที่ยอมทำงานอย่างทุ่มเทในฐานะอาสาสมัคร แต่เชื่อได้เลยว่าชื่อและความทรงจำดีๆ ของผู้ชายคนนี้จะยังคงอยู่ต่อไป

หลับให้สบายนะอาสาสมัครสุนทร...

Tuesday, August 16, 2005

ลาเเล้ว Baros



กำลังจะจากไปอีกคนเเล้วครับ สำหรับนักเตะลิเวอร์พูลที่ผมชื่นชม ชื่นชอบ Milan Baros หนึ่งในนักเตะที่ผมคิดว่าอุลิเยร์ซื้อมาได้อย่างคุ้มค่า ราคาถูกจริงๆ บารอสในขณะนั้น ศิริอายุ 21 ขวบ ย้ายมาจาก Banik Ostrava ด้วยราคา 3.6 ล้านปอนด์ ในช่วงปลายปี 2001 ที่ Ostrava เขาได้รับฉายาว่า Ostravan Maradona

ชีวิตค้าเเข้งของบารอสในถิ่นเเอนด์ฟิลด์ นั้นไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบครับ ต้องฝ่าฟัน อย่างหนักเพื่อตำเเหน่งตัวจริง เเต่ไม่ว่าจะพยายามเเค่ไหนก็เป็นได้เเค่ตัวสำรองของ Owen นอกจากนั้นเเล้วยังเป็นนักเตะจากชาติที่ไม่ใช่สมาชิก EU ด้วยทำให้โอกาสลงตัวจริง ยิ่งน้อยเข้าไปอีก

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อยู่ที่ลิเวอร์พูล บารอส ได้เเจ้งเกิด อย่างเต็มภาคภูมิ เเจ้งโพธ์นาค ในเวทีการเเข่งขันฟุตบอลชิงเเชมป์เเห่งชาติยุโรป 2004 โดยเค้าเป็นดาวยิงสูงสุด ในรายการนี้ ซึ่งหลังจากรายการนี้มีทีมใหญ่ๆ สนใจดึงตัวเค้าไปเล่นด้วยหลายทีม เช่น บาร์ซ่า เเละ ทีมราชันชุดขาว เเต่มิลานตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมทั้งเเสดงความภักดีต่อหงส์เเดงว่า

"I have heard all the rumours about Real Madrid and Barcelona supposedly being interested in me and of course it is nice to see clubs like that wanting you.
But I am back at Liverpool now ready for a new season and I want to stay here and play as many games as I can."

พอเจ้าเบบี้โกล์ ทิ้งลิเวอร์พูลไป บารอสก็ยังไม่ได้เป็นตัวเลือกหลักของราฟาครับ ก็ดันมีทั้ง ซิสเซ่ เเละ มอริเอนเตส เข้ามาเป็นก้าง ทำให้เวลาที่จะถูกเรียกใช้บริการนั้น น้อยเต็มที ที่ผมชอบบารอส เพราะความทุ่มเทเเละจงรักภักดีของเค้าครับ พูดก็พูดเถอะครับ
ผมว่ามากกว่าเด็กปั้นของลิเวอร์พูลที่ตอนนี้สวมชุดขาว นั่งสำรอง ร้องอยากกลับบ้าน เเน่ๆ

เเต่ทำยังไงได้ครับเมื่อไม่ได้อยู่ในเเผนการทำทีมของราฟา บารอสก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นครับนอกจากหาที่อยู่ใหม่ ลองอ่านคำให้สัมภาษณ์ข้างล่างดูนะครับ ว่าซึ้งเเค่ไหน

"It would be better if I leave Liverpool. I love the club very much, it has wonderful fans and a super stadium. But the time comes to say goodbye and go somewhere else."

"Even if I do what I can, it will not help me get into the starting line-up. So it would be better to leave."

Monday, August 15, 2005

ศิษย์คิดล้างครู

หลังจากหายไปนานมัวเเต่สนุกกับการเข้าไปอ่านบล๊อกคนอื่น เลยโดนเพื่อนปิ่น ว่ากล่าวตักเตือนให้เขียนบล๊อกตัวเองบ้าง

ผมเข้าไปอ่านเรื่อง คนตาบอดสอบเศรษฐศาสตร์ ของคุณร้านลาว เเล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมากครับ อ่านไปอ่านมาเลยทำให้อยากเขียนเรื่องการสอนขึ้นมาบ้างทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยเป็นอาจารย์กับเค้ามาก่อน เเต่ขอคิดดังๆ บ้างละกัน

ผมเองมีประสบการณ์การสอนไม่มากเท่าไหร่ครับ เคยไปสอนเเทนชาวบ้านมาบ้างตอนที่อยู่เมืองไทย เเละสอนเเทนอาจารย์บ้าง อาทิตย์ละชั่วโมงตอนเป็น TA เเรกๆ ก็สอน อธิบายไปเรื่อยครับ ตามที่เราเรียนมา เราเข้าใจ เเต่ปรากฏว่านักเรียนเค้าไม่เข้าใจไปกับเราด้วย ตอนเเรกเสียความมั่นใจครับคิดว่าสงสัยเค้าฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยอิสานของเราไม่รู้เรื่องรึเปล่า เเต่หลังๆ ลองเปลี่ยนวิธีอธิบาย เอาเเบบง่ายๆ เนียนๆ ผลปรากฏว่า นักเรียนเค้าเข้าใจเรามากขึ้น สนใจมากขี้น

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมสมัยเรียนตรี รู้สึกว่าอาจารย์มหาลัยบางคนใช้วิธีการสอนโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำให้วิธีการสอนออกมาในรูปเเบบที่สะดวกต่อผู้สอน ไม่ใช่สะดวกต่อผู้เรียน พูดง่ายๆ คือ อาจารย์เเกไม่ทำการบ้านมาเอาซะเลย เรียกว่าเดินมาถึงหน้าห้องถามนักเรียนว่าคาบที่เเล้วถึงไหน เเล้วก็ด้นกลอนสดกันตรงนั้นเลย ผลปรากฏว่านักเรียน นักศึกษา งง เป็นไก่ตาเเตก พาลไม่ชอบ ไม่อยากเรียนวิชานั้นไปเลย ( เป็นเหตุผลที่ผมอ้างบ่อยๆ เวลาโดดเรียน )

อย่างที่รู้ๆ กันครับว่าเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีความยืดหยุ่นสูงครับ คำถามหนึ่ง มีได้มากกว่าหนึ่งคำตอบ เเล้วเเต่สถานการณ์ วิธีการตอบ อธิบาย เเละการสอนเศรษฐศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน

อาจารย์ประเภทเอาตัวเองเป็นหลักนี่สอนเเบบว่าฉันรู้มาเเล้ว พออธิบายทฤษฏี หรือ ยกตัวอย่าง ก็เลยมาจากมุมของคนที่รู้เรื่องเเล้ว เอางี้ครับลองเปรียบเทียบเวลาเราเล่นเกมส์มาริโอ ก็ได้ วิธีการเล่นในด่านที่เคยไปมาเเล้ว หรือ ผ่านมาเเล้ว กับด่านที่ยังไม่เคยไปนี่ต่างกันเห็นๆ ครับ ด่านไม่เคยไปนี่ทั้งระวังซ้าย ระวังขวา หน้าหลัง ลองโหม่งอิฐทุกก้อนว่ามันจะมีเห็ดวิเศษโผล่มาให้กินรึเปล่า

ฉันใดฉันนั้น พูดเรื่องที่เรารู้เเล้วให้คนที่ยังไม่รู้เรื่องฟัง ย่อมเเตกต่างจากการที่เราพูดให้คนที่รู้เรื่องเเล้วฟัง หากจุดประสงค์ของการสอนคือต้องการให้นักเรียนได้รู้ ได้เข้าใจ ผมคิดว่าการสอนโดยวิธีให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมครับ

เมื่ออาจารย์ให้ความสำคัญกับนักเรียนเเล้ว ตัวนักเรียนเองก็ควรจะให้ความสำคัญกับตัวเอง เเละสิ่งที่อาจารย์จะสอนด้วยครับ คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งใจเรียนนั่นเอง ถ้านักเรียนไม่เอาซะอย่างต่อให้อาจารย์ตั้งใจเเค่ไหน ก็คงไม่เกิดผลครับ

Thursday, July 21, 2005

พี่คล้าว...มาเเล้ว


มาเเล้วครับสำหรับ Peter Crouch ซึ่งผมขออนุญาตเรียกว่าพี่คล้าว เเล้วกันนะครับ จะได้ออกเสียงกันง่ายๆ พี่คล้าวย้ายมาจากทีมนักบุญเเดนใต้(ของอังกฤษนะครับ ไม่ใช่ของไทย เพราะทางใต้ของไทยตอนนี้นักบุญคงไม่อยากไปมากเท่าไหร่) ซึ่งฤดูกาลหน้าต้องไปเเสวงบุญใน Coca Cola Championship (ดิวิชั่นหนึ่งเดิม) ค่าตัวที่ย้ายมาก็ 7 ล้านปอนด์ครับ ซึ่งผมคิดว่าถูกมากสำหรับนักเตะอายุ 24

ด้วยส่วนสูงที่ขาดอีก 2 เซนติเมตร จะ 2 เมตรพอดี ทำให้คล้าวเป็นนักเตะที่ได้เปรียบในการเล่นลูกกลางอากาศ นอกจากนั้นเเล้ว คล้าวยังครองบอล เเละ เอาบอลลงพี้นได้ดีอีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ผมว่าสำคัญมากสำหรับนักเตะที่มีรูปร่างสูง เพราะส่วนใหญ่เราจะเห็นว่านักเตะพวกนี้จะได้บอลครับเมื่อบอลถูกโยนโด่งมา เเต่จะเอาบอลลงกันไม่ค่อยเนียน โดยมากก็จะโหม่งต่อให้เพื่อนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประสิทธิภาพ เเละความเเม่นยำ รวมถึงความง่ายที่จะเล่นบอลต่อ มันย่อมสู้ลูกเปิดจากเท้าไม่ได้

การมาของพี่คล้าวจะทำให้ ราฟา มีทางเลือกในเกมส์รุกมากขึ้น เรียกว่าหากถึงทางตันจริงๆ เเก้เกมส์ไม่ได้อย่างน้อยก็สามารถสาดบอลไปข้างหน้าให้พี่คล้าวได้ ซึ่งพี่คล้าวจะเลือกส่งหรือเข้าทำเองก็ได้ เเน่นอนครับการมาของพี่คล้าวมันอาจหมายถึงการจากไปของใครบางคน ที่โดนหมายหัวไว้ก็คือ บารอส

จริงๆ เเล้วผมชอบบารอสนะครับ ผมว่าเค้าเป็นนักเตะที่มุ่งมั่นเเละทุ่มเทดี พี่เเกวิ่งหน้าตั้งทั้งเกมส์ครับ เทคนิคลากเลื้อยอาจจะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เเต่ความเร็วนี่ไม่ต้องห่วง ผมว่าไม่เเพ้โอเว่นเเน่ เเต่ข้อเสียของบารอสคือ พี่เเกเป็นพวกข้ามาคนเดียว การประสานงานกับเพื่อนคนอื่น น้อยไปหน่อย ซึ่งผมคิดว่าราฟา ต้องการสร้างส่วนนี้ให้กับลิเวอร์พูล

อ้าวเมื่อเจ้านายไม่ค่อยชอบใช้บริการ เเล้วตอนนี้กองหน้าในทีมก็มากเหลือเกิน ทั้ง Anthony Le Tallec, Luis Garcia, Djibril Cisse, Fernando Morientes รวมพี่คล้าวเเละบารอสด้วยนี่ปาเข้าไป หกคน ครึ่งทีมเข้าไปเเล้ว งานนี้ผมว่าบารอสไปเเน่เลย

โอ้พิมพ์นานเเล้วเริ่มปวดเเขนครับ ยังไงก็หวังว่าพี่คล้าวคงไม่ทำให้เเฟนเเฟน มนต์รักลูกทุ่งผิดหวังนะครับ กลัวเหลือเกินว่าพี่เเกจะมาเเทนพี่สาก เฮสกี้ ที่มาโหม่ง เเล้วก็วิ่งไล่บอล จนช่วงหลังหลังไปวิ่งไล่ทางริมเส้นด้านซ้าย จนบางทีผมนึกว่าเเกเป็นเเบ็คซ้ายซะด้วยซ้ำ

Thursday, July 07, 2005

คาราบาว(เเดง)


ขึ้นหัวข้อด้วยคำว่าเเดงอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าชอบสีเเดงเป็นพิเศษนะครับเเต่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไปดูการเเสดงสดของวงขวัญใจตลอดกาลของผม คาราบาว ที่วัดลาวพุทธวงศ์ Virginia เลยอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับวงดนตรีที่ชื่นชอบสักหน่อย
ผมชื่นชอบ คาราบาว มาตั้งเเต่เด็กทั้งเนื้อหาที่สะใจ ตรงใจเด็กบ้านนอกอย่างผม เเละทำนองที่ฟังง่าย สนุกเเบบสามช่าเมืองไทย ผมติดตามผลงานของวงนี้มาเเทบทุกชุด สังเกตุเห็นความเปลี่ยนเเปลงของดนตรี เเละนักดนตรี

เดิมทีเนื้อหาเพลงของคาราบาวค่อนข้างหนัก เน้นและสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมดังเช่นในเพลงถึกควายทุย ภาคเเรกๆ บางครั้งมีการนำเสนอชีวิตชาวบ้านในชนบทที่สวยงาม เเละไม่สวยงามสลับกันไป เเละเเน่นอนการเสียดสีสังคม นโยบายรัฐบาล มีให้เห็นในเเทบทุกชุด

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่ากี่ปีมาเเล้ว คาราบาวกลับมารวมตัวกันใหม่หลังจากระเห็จระหกระเหินหายกันไปนานเเต่คราวนี้กลับมาทำเพลง พร้อมด้วย เครื่องดื่มชูกำลัง พร้อมกับกำลังการตลาดที่มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ

กลับมาเรื่องคอนเสิร์ตดีกว่า เปิดเวทีด้วยเพลงลุงขี้เมา เเล้วก็เมดอินไทยเเลนด์ ตามมาด้วยเพลงเดือนเพ็ญ พอเพลงนี้ขึ้นผมขนลุกเลย เสียงของคุณเเอ็ด คาราบาวยังคงความขลังเหมือนเดิม นุ่มเเต่เเฝงด้วยพลัง ผมคิดถึงบ้านขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ตอนนั้น เเดดตรงหัว ร้อนเเทบตาย เเต่ไม่รู้เป็นยังไงรู้สึกว่ามีดวงจันทร์อยู่ตรงหน้าจริงๆ

ผมไม่เคยดูคอนเสิร์ตคาราบาวที่เมืองไทยเลย ซื้อเทปฟังอย่างเดียว มาเล่นคอนเสิร์ตที่เมกาคราวนี้ คาราบาวมาเเปลก มีการโฆษณาขาย คาราบาวเเดงด้วย อย่างว่าละครับ ลงทุนกันไปเเล้วก็ต้องพยามขายเพื่อหารายได้ทำกำไรกันให้ได้ นักดนตรีก็หน้าตาเเปลกไป พวกหน้าเก่าก็หน้าเปลี่ยนโหงวเฮ้งดีขึ้นเยอะเรียกว่ามาดโทรมๆ เเบบเมื่อก่อนไม่มีให้เห็นอีกเเล้ว นอกจากนั้นยังมีนักดนตรีหน้าใหม่ๆ มาเพิ่มด้วย ซึ่งบางคนผมต้องยอมรับครับว่าไม่รู้จัก

ผมไม่เห็นด้วยนะครับที่คาราบาวมาทำเครื่องดื่มชูกำลังขาย ก็รู้ๆกันอยู่ว่ามันไม่ได้ช่วยให้คนไทยมีประสิทธิภาพการทำงาน และคุณภาพชีวิตดีขึ้น เมื่อก่อนคุณเเอ๊ดก็เคยตำหนิผู้ผลิตเครื่องดี่มประเภทนี้มาก่อน เเต่เเล้วก็มาทำเอง (ไม่รู้ไปได้สูตรที่ดีกว่าหรืออย่างไร ถึงมาทำ) ถึงผมจะไม่เห็นด้วย เเต่ก็เข้าใจนะครับที่คาราบาวทำลงไป เมื่อถึงยุคที่เศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยพลังทุนนิยม เงินก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกๆคน ต้องมีเพื่อใช้กินใช้อยู่ คาราบาวก็เช่นกัน เมื่อสมาชิกในวงเพิ่มขึ้น รายได้จากดนตรีอย่างเดียวก็คงจะไม่พอซะเเล้ว ขายบาวเเดงนี่เเหละง่ายดี ยังไงภาพของคาราบาวก็ขายได้อยู่เเล้วในหมู่คนรายได้น้อยชี่งเป็นกลุ่มบริโภคหลักของเครือ่งดื่มชูกำลัง มันคงเหมือนที่คุณเเอ๊ดพูดก่อนจะเล่นเพลงทะเลใจเเหละครับ "ถ้าหากคนเราสามารถเอาชนะกิเลส ตัณหาได้ก็ไม่ต้องตกอยู่ในวงวนของความวุ่นวาย"

ผมเดินออกจากคอนเสิร์ตทั้งที่การเเสดงยังไม่จบเนื่องจากต้องรีบกลับซะก่อน เสียดายจริงๆ เเต่ยังไงก็มีความสุขครับ ได้ฟังเพลงที่ชอบสดๆ มันเหมือนได้ย้อนกลับไปหาอดีตสมัยที่ยังอยู่บ้านนอกอีกครั้งหนึ่ง

Tuesday, July 05, 2005

Gerrard



ตอนเเรกกะว่าจะเขียนเกี่ยวกับคาราบาวที่เพิ่งไปดูมาเมื่อวันอาทิตย์ เเต่ยังเขียนไม่จบ กลับมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับทีมรักออกมาซะก่อน
ในที่สุดเค้าก็จากเราไป อย่างว่าครับคนเราไม่มีใจกันเเล้วไม่รู้จะรั้งกันไปทำไม เมื่อ Gerrard ต้องการความท้าทายใหม่ ใครจะไปรั้งไว้ได้ ผมไม่เเน่ใจเหมือนกันครับว่าเงินมีส่วนในการตัดสินใจรึเปล่า หาก Gerrard เป็นสัตว์เศรษฐกิจ (ขออนุญาตยีมคำนี้จากคุณปิ่นนะครับ) ผมว่ายังไงยังไงเงินก็ต้องเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจ ใครจะไปห้ามใจได้ละครับเมื่อเงินมันมากกว่ากันตั้งเกือบสองเท่า จริงๆ ผมเข้าใจเค้านะครับ อาชีพนักเตะมันไม่ได้เล่นกันได้ตลอดชีวิตเหมือนนักการเมืองไทยนะครับ พอเข้าเลขสามก็เตรียมตัวเก็บรองเท้าเเล้ว ยิ่งสมัยนี้เด็กๆมาเร็วเเละเเรงเหลือเกิน นักเตะเก่าก็ยิ่งมีอายุการใช้งานที่สั้นลง
ความจริงถ้าจะเอาเเค่ความท้าทายอย่างเดียว ผมว่าเค้าไม่น่าจะย้ายเพราะ Gerrard ยังไม่เคยชูถ้วยที่ลิเวอร์พูลยังไม่เคยได้เลย (ตั้งเเต่เปลี่ยนมาเป็น premier leaque ลิเวอร์พูลไม่เคยได้เเชมป์กับเค้าเลย) หากอยากท้าทายจริง น่าจะอยู่ต่อจนได้เเชมป์ลีกซะกอ่น

เอาล่ะครับยังไงก็ตามต้องมาลุ้นกันว่า Gerrard จะทำประโยชน์ครั้งสุดท้ายให้ลิเวอร์พูลได้มากน้อยเเค่ไหน หากจากไปพร้อมเงินซัก 35ล้านปอด์น ผมว่าเป็นการสูญเสียที่คุ้มค่าครับ ผมเพิ่งอ่าน Soccersuck.com ก่อนเข้ามาเขียน ชอบมากเลยครับสำหรับบทความของคุณ เบน ฟรีคิก ที่เขียนถึงGerrard ว่า
"ในรายของเจอร์ราร์ด คงไม่มีเดอะค็อปคนไหนกล้าขออะไรมากไปกว่าอ้อนวอนให้อยู่ดูใจกันต่อไป เสียงด่าไล่หลังตามมาคงไม่น่าจะมีให้เห็นเพราะตั้งแต่อดีตเด็กน้อยที่นั่งขัดรองเท้าให้รุ่นพี่จนก้าวมาเป็นกัปตันทีมได้"รับใช้"ทั้งใจและกายให้สโมสรจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว.."


กลับมาดูกันในทีมดีกว่าครับว่าหลังการไปของเจอร์ราร์ด ใครจะมาเป็นหัวหน้าทีมเเทน ใจผมอยากให้ ให้คาราเกอร์ รับปลอกเเขนต่อจริงๆครับ เค้าเป็นชาวลิเวอร์พูล (Scouser) เเต่กำเนิด ถึงเเม้ช่วงเเรกๆของอาชีพจะไม่ค่อยราบรี่น โดนจับไปเล่นสาระพัดตำเเหน่ง สุดท้ายมาลงที่เเผงหลังก็ยังปล่อยไก่ เข้าพรวด ให้เห็นเเต่ช่วงปีสองปีหลัง เค้าได้พิสูจน์ตัวเองเเล้วว่าเป็นยอดกองหลังในเกาะอังกฤษ เเละเวทียุโรปอีกคนนึง เรื่องทุ่มเทนี่ไม่ต้องห่วงครับผมว่าเค้าไม่น้อยกว่าเจอร์ราร์ดเเน่ เเต่ที่ห่วงคือภาวะผู้นำอาจจะยังไม่เท่าเจอร์ราร์ดครับ ก็ต้องมาคอยดูกันครับว่าราฟา จะไว้ใจใคร

ประเด็นที่ผมห่วงอยู่นิดหน่อยคือเมื่อทั้งนักเตะเเละสต๊าฟโค้ชเป็นชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ หัวใจสิงห์ซึ่งเป็นลักษณะของนักเตะอังกฤษจะหายไปรึเปล่า

Tuesday, June 28, 2005

หงส์เเดง

พอเริ่มมี blog ของตัวเองก็คันมือเลย อยากเขียนทันที ขอเริ่มด้วยความคิดเห็นเกี่ยวกับทีมรักของตัวเองเลยดีกว่า นี่ก็เพิ่งจะได้เเชมป์ยุโรปถ้วยใบใหญ่สุดมาสดสดร้อนร้อน นัดนั้นผมดูอยู่ที่คาสิโนเเห่งหนึ่งในลาสเวกัส ( เเต่ไม่ได้เล่นพนันนะครับ คือบ้านที่ไปพักไม่มีเคเบิลทีวีเลยต้องไปดูที่นั่น) ครึ่งเเรกนี่ผมหมดเลยครับเเต่ในใจก็ยังคิดในเเง่ดีว่าได้เข้าชิงนี่ก็สุดยอดเเล้ว เพราะผมไม่คิดอยู่เเล้วครับว่าลิเวอร์พูลจะได้เเชมป์ เเต่ถ้าพิจารณาเส้นทางที่มาถึงนัดชิงได้นี่ต้องยอมรับครับว่าทั้งผู้เล่นเเละผู้จัดการทีมรวมทั้งสต๊าฟโค้ช ทุ่มกันสุดๆจริงๆ ทำให้นึกถึงคำคมที่ผมเคยได้ยินเพื่อนผมพูดไว้ว่า "บางครั้งการที่เราไปถึงจุดหมายอาจไม่ใช่สิงที่สำคัญสุดเเต่เป็นเส้นทางที่เราเดินผ่าน สิ่งต่างๆที่เราได้พบเจอระหว่างการเดินทาง ต่างหากที่สำคัญ" (เพื่อนผมมันคงจำมาจากหนังสือที่มันอ่านครับ เนื่องจากเพื่อนคนนี้เป็นคนอ่านหนังสือเยอะ มีคำคม มุขเด็ดมากมาย)

อ้าวนอกเรื่องไปไกล กลับมานัดชิงยูโรเปี้ยนคัพดีกว่า ครึ่งหลังกุนซือสมองเพชร ราฟา เเสดงความเป็นคนหัวใสทั้งในหัวเเละนอกหัวอย่างชัดเจนครับ เเค่เปลี่ยนเอา ฟินเเนนออก เเล้วเอาตัวตัดบอล เก็บบอลดีๆ อย่างฮามัน ลงมา กลายเป็นจุดเปลี่ยนเกมส์อย่างเเท้จริงครับ สำหรับนักเตะท่านหลังนี่ผมดีใจมากที่ทางสโมสรหงส์เเดงต่อสัญญาให้เค้าอยู่ต่อ เนื่องจากผมคิดว่า เค้ายังมีประโยชน์อยู่มากทั้งในเกมส์ระดับยุโรป เเละพรีเมียร์ชิพ

ลูกโหม่งของเจอร์ราดอาจะดูมั่วๆ เเต่ก็ทำให้นักเตะหงส์เเดงมีเเรงวิ่งต่อในครึ่งหลัง รวมไปถึงลูกที่ซมิเซอร์ยิงเข้าไปหลังจากไม่ได้ยิงมาหลายปี ทำให้หัวใจผมเริ่มมีกำลังใจขึ้น ลูกตีเสมอนี่เรียกว่าดวงสุดสุดครับ ปกติ ดีด้าร์ซึ่งมีชื่อเรื่องการรับลูกจุดโทษมาก ดันปัดมาเข้าทาง อลอนโซ่ ซึ่งเท้าไวเป็นลิง ยิงซ้ำเข้าไป ตอนนั้นผมนึกในใจ เอาว่ะ ชนะเเน่งานนี้ เเต่เเล้วฉี่ผมก็เเทบราดเมื่อ เชฟเชนโก้ทั้งยิงทั้งโหม่ง เเต่พี่ดูเด็คนี่แกสุดยอดจริงๆ ครับครึ่งหลัง เซฟลูกอันตรายได้หมด หลังจากที่ครึ่งเเรกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็ได้เค้านี่เเหละครับเป็นเเปลงร่างเป็นมนุษย์มือปลาหมึก รับลูกจุดโทษได้เป็นว่าเล่น จนลิเวอร์พูลได้เเชมป์ยุโรปในที่สุด

เเหม เขียนเรื่องบอลนี่มันส์จริงๆ ครับ ยิ่งบอลอังกฤษนี่ยิ่งมันเพราะคนไทยส่วนใหญ่ติดตามกันมาตลอด ผมเคยลองคิดเล่นเล่น เเต่อยากจะให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ว่า ถ้าหากคนไทยเราสนใจฟุตบอลไทยสักหน่อย อย่างน้อยเเค่ 10% ที่เราสนใจบอลอังกฤษ ฟุตบอลไทยคงเจริญ กว่านี้เยอะ ผมเห็นบางคนเถียงกันจะเป็นจะตายเรื่องใครเก่งกว่ากันระหว่าง เเมนยู กับ ลิเวอร์พูล บางครั้งมีลงไม้ลงมือ ผมคิดในใจ มันทีมพ่อทีมเเม่ของพวกนั้นหรืออย่างไร ทำไมถึงได้ยึดติดขนาดนั้น หากพวกนี้เเบ่งความสนใจมาให้ ทีมจังหวัดตัวเองที่เตะกันเหงื่อเเตกเป็นลิตรๆ ในไทยลีกบ้าง ป่านนี้พวกนักเตะไทยคงไม่ต้องไปหากินในเวียดนาม สิงคโปร์

อ้าวต้องไปทำงานต่อเเล้วครับเขียนมาเยอะล่ะ ไว้มีอารมณ์จะมาเขียนใหม่

Monday, June 27, 2005

เเนะนำตัว

สวัสดีครับท่านที่ผ่านไปผ่านมา หรือ หลุดเข้ามาอ่าน ก่อนอื่นขอเเนะนำตัวก่อนว่าผมเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ยังไม่เคยมีประสบการณ์การเขียนมาก่อนเลย นอกจากการเขียนตอบข้อสอบ รายงาน หรือการบ้าน อะไรทำนองนั้น ที่เริ่มมาสนใจการเขียน blog นี่เนื่องจากได้รับคำเเนะนำจากเพื่อนใหม่ท่านหนึ่ง ซึ่งบังเอิญพบกัน ที่วอชิงตันดีซี
ผมยังไม่ค่อยเเน่ใจเลยว่าจะเขียนอะไรดี เเต่ตามประสาคนใจร้อน ใจเร็ว ด่วนได้ คิดว่าน่าจะเขียนเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นกีฬาที่ชอบมาก ติดตามมานาน น่าจะพอมีความรู้ ความเข้าใจอยู่พอสมควร เเละอาจจะมีการพาดพิงถึงการเมือง เศรษฐกิจ ธุรกิจ เเละเรื่องทั่วๆ ไปบ้าง แต่จะเป็นในรูปการพูดคุยเล่าสู่กันฟังนะครับ เพราะฉะนั้นท่านนักเดินทางผ่านไปผ่านมา ขอเชิญ ร่วมเเสดงความคิดเห็นได้ ตามสบายครับ