Tuesday, August 16, 2005

ลาเเล้ว Baros



กำลังจะจากไปอีกคนเเล้วครับ สำหรับนักเตะลิเวอร์พูลที่ผมชื่นชม ชื่นชอบ Milan Baros หนึ่งในนักเตะที่ผมคิดว่าอุลิเยร์ซื้อมาได้อย่างคุ้มค่า ราคาถูกจริงๆ บารอสในขณะนั้น ศิริอายุ 21 ขวบ ย้ายมาจาก Banik Ostrava ด้วยราคา 3.6 ล้านปอนด์ ในช่วงปลายปี 2001 ที่ Ostrava เขาได้รับฉายาว่า Ostravan Maradona

ชีวิตค้าเเข้งของบารอสในถิ่นเเอนด์ฟิลด์ นั้นไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบครับ ต้องฝ่าฟัน อย่างหนักเพื่อตำเเหน่งตัวจริง เเต่ไม่ว่าจะพยายามเเค่ไหนก็เป็นได้เเค่ตัวสำรองของ Owen นอกจากนั้นเเล้วยังเป็นนักเตะจากชาติที่ไม่ใช่สมาชิก EU ด้วยทำให้โอกาสลงตัวจริง ยิ่งน้อยเข้าไปอีก

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อยู่ที่ลิเวอร์พูล บารอส ได้เเจ้งเกิด อย่างเต็มภาคภูมิ เเจ้งโพธ์นาค ในเวทีการเเข่งขันฟุตบอลชิงเเชมป์เเห่งชาติยุโรป 2004 โดยเค้าเป็นดาวยิงสูงสุด ในรายการนี้ ซึ่งหลังจากรายการนี้มีทีมใหญ่ๆ สนใจดึงตัวเค้าไปเล่นด้วยหลายทีม เช่น บาร์ซ่า เเละ ทีมราชันชุดขาว เเต่มิลานตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมทั้งเเสดงความภักดีต่อหงส์เเดงว่า

"I have heard all the rumours about Real Madrid and Barcelona supposedly being interested in me and of course it is nice to see clubs like that wanting you.
But I am back at Liverpool now ready for a new season and I want to stay here and play as many games as I can."

พอเจ้าเบบี้โกล์ ทิ้งลิเวอร์พูลไป บารอสก็ยังไม่ได้เป็นตัวเลือกหลักของราฟาครับ ก็ดันมีทั้ง ซิสเซ่ เเละ มอริเอนเตส เข้ามาเป็นก้าง ทำให้เวลาที่จะถูกเรียกใช้บริการนั้น น้อยเต็มที ที่ผมชอบบารอส เพราะความทุ่มเทเเละจงรักภักดีของเค้าครับ พูดก็พูดเถอะครับ
ผมว่ามากกว่าเด็กปั้นของลิเวอร์พูลที่ตอนนี้สวมชุดขาว นั่งสำรอง ร้องอยากกลับบ้าน เเน่ๆ

เเต่ทำยังไงได้ครับเมื่อไม่ได้อยู่ในเเผนการทำทีมของราฟา บารอสก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นครับนอกจากหาที่อยู่ใหม่ ลองอ่านคำให้สัมภาษณ์ข้างล่างดูนะครับ ว่าซึ้งเเค่ไหน

"It would be better if I leave Liverpool. I love the club very much, it has wonderful fans and a super stadium. But the time comes to say goodbye and go somewhere else."

"Even if I do what I can, it will not help me get into the starting line-up. So it would be better to leave."

Monday, August 15, 2005

ศิษย์คิดล้างครู

หลังจากหายไปนานมัวเเต่สนุกกับการเข้าไปอ่านบล๊อกคนอื่น เลยโดนเพื่อนปิ่น ว่ากล่าวตักเตือนให้เขียนบล๊อกตัวเองบ้าง

ผมเข้าไปอ่านเรื่อง คนตาบอดสอบเศรษฐศาสตร์ ของคุณร้านลาว เเล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมากครับ อ่านไปอ่านมาเลยทำให้อยากเขียนเรื่องการสอนขึ้นมาบ้างทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยเป็นอาจารย์กับเค้ามาก่อน เเต่ขอคิดดังๆ บ้างละกัน

ผมเองมีประสบการณ์การสอนไม่มากเท่าไหร่ครับ เคยไปสอนเเทนชาวบ้านมาบ้างตอนที่อยู่เมืองไทย เเละสอนเเทนอาจารย์บ้าง อาทิตย์ละชั่วโมงตอนเป็น TA เเรกๆ ก็สอน อธิบายไปเรื่อยครับ ตามที่เราเรียนมา เราเข้าใจ เเต่ปรากฏว่านักเรียนเค้าไม่เข้าใจไปกับเราด้วย ตอนเเรกเสียความมั่นใจครับคิดว่าสงสัยเค้าฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยอิสานของเราไม่รู้เรื่องรึเปล่า เเต่หลังๆ ลองเปลี่ยนวิธีอธิบาย เอาเเบบง่ายๆ เนียนๆ ผลปรากฏว่า นักเรียนเค้าเข้าใจเรามากขึ้น สนใจมากขี้น

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมสมัยเรียนตรี รู้สึกว่าอาจารย์มหาลัยบางคนใช้วิธีการสอนโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทำให้วิธีการสอนออกมาในรูปเเบบที่สะดวกต่อผู้สอน ไม่ใช่สะดวกต่อผู้เรียน พูดง่ายๆ คือ อาจารย์เเกไม่ทำการบ้านมาเอาซะเลย เรียกว่าเดินมาถึงหน้าห้องถามนักเรียนว่าคาบที่เเล้วถึงไหน เเล้วก็ด้นกลอนสดกันตรงนั้นเลย ผลปรากฏว่านักเรียน นักศึกษา งง เป็นไก่ตาเเตก พาลไม่ชอบ ไม่อยากเรียนวิชานั้นไปเลย ( เป็นเหตุผลที่ผมอ้างบ่อยๆ เวลาโดดเรียน )

อย่างที่รู้ๆ กันครับว่าเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่มีความยืดหยุ่นสูงครับ คำถามหนึ่ง มีได้มากกว่าหนึ่งคำตอบ เเล้วเเต่สถานการณ์ วิธีการตอบ อธิบาย เเละการสอนเศรษฐศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน

อาจารย์ประเภทเอาตัวเองเป็นหลักนี่สอนเเบบว่าฉันรู้มาเเล้ว พออธิบายทฤษฏี หรือ ยกตัวอย่าง ก็เลยมาจากมุมของคนที่รู้เรื่องเเล้ว เอางี้ครับลองเปรียบเทียบเวลาเราเล่นเกมส์มาริโอ ก็ได้ วิธีการเล่นในด่านที่เคยไปมาเเล้ว หรือ ผ่านมาเเล้ว กับด่านที่ยังไม่เคยไปนี่ต่างกันเห็นๆ ครับ ด่านไม่เคยไปนี่ทั้งระวังซ้าย ระวังขวา หน้าหลัง ลองโหม่งอิฐทุกก้อนว่ามันจะมีเห็ดวิเศษโผล่มาให้กินรึเปล่า

ฉันใดฉันนั้น พูดเรื่องที่เรารู้เเล้วให้คนที่ยังไม่รู้เรื่องฟัง ย่อมเเตกต่างจากการที่เราพูดให้คนที่รู้เรื่องเเล้วฟัง หากจุดประสงค์ของการสอนคือต้องการให้นักเรียนได้รู้ ได้เข้าใจ ผมคิดว่าการสอนโดยวิธีให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมครับ

เมื่ออาจารย์ให้ความสำคัญกับนักเรียนเเล้ว ตัวนักเรียนเองก็ควรจะให้ความสำคัญกับตัวเอง เเละสิ่งที่อาจารย์จะสอนด้วยครับ คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งใจเรียนนั่นเอง ถ้านักเรียนไม่เอาซะอย่างต่อให้อาจารย์ตั้งใจเเค่ไหน ก็คงไม่เกิดผลครับ